เรามาวิพากษ์วิจารณ์ มหาพงศ์นรินทร์กันต่อ ขอย้ำก่อนว่า ข้อมูลเอามาจากบทความของบล็อก ชื่อ “พระมหาพงศ์นรินทร์ พูดถึงคำสอนที่บิดเบือนของวัดธรรมกาย”
นอกจากนั้น
แล้วผมยังยืนยันอีกว่า มหาพงศ์นรินทร์นี้ ไม่ได้รู้เรื่องของศาสนาอะไรนัก
พวกอ่านมา จำได้ แล้วก็ “พ่น” ออกไป แบบไม่มีความคิดเป็นของตัวเอง 
ยิ่งวิชาธรรมกายแล้ว  มหาพงศ์นรินทร์ไม่น่าจะมีความรู้ “ลึก”
ที่จะทำให้สามารถวิพากษ์วิจารณ์ได้อย่างถูกต้อง และมีเหตุมีผล 
ข้อความที่ว่า
| 
เวลานั่งกรรมฐานให้มองลูกแก้วให้เห็นจนชินตา
  เพื่อเอามาเป็นอารมณ์สมาธิตอนต้น กรรมฐานแนวนี้ มีก่อนพุทธศาสนาเกิด
  ต่างจากรรมฐานสี่สิบกอง ซึ่งไม่มีตัวตน เมื่อการปฏิบัติเป็นเช่นไร
  ผลก็เป็นเช่นนั้น  | 
เมื่ออ่านข้อความนี้แล้ว  ต้องขอย้ำข้อเขียนที่เขียนไปแล้ว
อีกสักครั้งหนึ่ง คือ 
มหาพงศ์นรินทร์นี่
เป็นมหามาได้อย่างไร
ข้อความข้างต้นมันน่าจะเป็นข้อเขียนของคนที่ไม่มีความรู้
แล้วเมายาบ้าด้วย จึงเถียงออกมาแบบบ้าๆ บอๆ 
แบบหาเหตุผลไม่ได้
ผมไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อนว่า
การให้นึกนิมิตเป็นดวงใสมีมาก่อนพระพุทธศาสนา 
ยังไม่เคยอ่านพบจากหนังสือเล่มไหน  
อย่างไรก็ดี  สมมุติว่า
การนึกนิมิตให้เห็นดวงใสแบบที่วิชาธรรมกายสอนนั้น มีมาก่อนศาสนาพุทธจริงๆ  แล้วมันผิดตรงไหน และผิดอย่างไร 
สิ่งที่มีมาก่อนศาสนาพุทธนั้น
ในพระไตรปิฎกมีเป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นความจริง พระพุทธองค์ก็ทรงรับมาสอน  เช่น นรก สวรรค์ เป็นต้น
คำสอนเรื่องนรก-สวรรค์ของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูของศาสนาพุทธคล้ายกันมาก
พูดง่ายก็คือ ศาสนาพุทธรับมาจากศาสนาพราหมณ์-ฮินดู แต่ก็มีความแตกต่างกันบ้าง
หลักการคล้ายกัน
อย่างนั้น
เราต้องตัดเรื่องนรก-สวรรค์ออกไปเลยหรือไง 
ที่สำคัญเลยก็คือ
“ศีล 5”  ศีล 5 นี่มีมาก่อนศาสนาพุทธแน่ๆ
อ่านหนังสือพบหลายครั้งแล้ว พระพุทธองค์ก็ทรงรับเข้ามาในศาสนาพุทธ 
นี่ถ้าเอาตามหลักการของมหาพงศ์นรินทร์
เราก็คงเลิกนับถือศีล 5  
ข้อความที่ผิดเต็มๆ
ก็คือ ข้อความนี้  “ต่างจากรรมฐานสี่สิบกอง”  ตรงนี้ผมถึงกล้าฟันธงว่า มหาพงศ์นรินทร์ไม่เคยปฏิบัติธรรม
และไม่มีความรู้เกี่ยวกับการปฏิบัติธรรม
การปฏิบัติธรรมแบบวิชาธรรมกายนั้น  เป็นอาโลกสิน เป็นอานาปานสติ
และเป็นพุทธานุสสติ เข้าหลักของกรรมฐาน 40 ไปถึง 3 กอง
ข้อความต่อไปที่ว่า
| 
การเอาตัวตนเป็นศูนย์กลางของจักรวาล
  เป็นที่มาของการที่ธรรมกายเขาอธิบายว่า นิพพานเป็นอัตตา หรือการใช้คำประโลมโลกจำพวก
  รวยโคตรๆ นี่เป็นคำกระตุ้นกิเลสตลอดเวลา
  ทำไมเขาไม่รู้สึกอายที่จะเล่นกับความละโมบของตัวเอง เราไม่ได้บอกว่า
  เขาถูกหรือผิด แต่ไม่ตรงตามหลักการเดิมของศาสนา  | 
สำหรับข้อความที่วิพากษ์วิจารณ์ธัมมชโยนั้น  ถือว่าเป็นความจริงตามนั้น ผมด่าธัมมชโยแรงกว่ามหาพงศ์นรินทร์ไม่รู้กี่เท่า
เรามาวิพากษ์วิจารณ์ข้อความที่ว่า
“เขาอธิบายว่า นิพพานเป็นอัตตา” กัน
เพราะ เป็นเรื่องสำคัญ
ผมขอประกาศไปก่อนเลยว่า
ถ้าเราไปตั้งคำถามกับพวกสมองหมา ปัญญาควายพวกนี้ว่า “นิพพานเป็นอัตตา”
มันผิดตรงไหน อย่างไร
รับรองพวกสมองหมา
ปัญญาควายพวกนี้อธิบายไม่ได้แม้แต่คนเดียว 
ถึงแม้จะเป็นพระพรหมคุณาภรณ์/พระธรรมปิฎก/พระประยุทธ์ ซึ่งเป็นต้นฉบับการโจมตีแบบนี้เองก็ตาม
คำสอนของหลวงพ่อวัดปากน้ำนั้น
สามารถตีความไปได้ว่า “นิพพานเป็นนิจจัง-สุขัง-อัตตา”
ซึ่งเป็นการอธิบายที่ถูกต้องตรงเผงแล้ว ไม่ผิดอะไรเลย
คำว่า
“นิจจัง-สุขัง-อัตตา” เป็นคำคุณศัพท์ ที่บรรยายสภาพของนิพพาน  ก็ถูกต้องตามพระไตรปิฎกอยู่แล้ว  
ข้อความที่ว่า
“นิพพานเป็นนิจจัง-สุขัง”
ทุกคนยอมรับหมด แม้กระทั่งพระประยุทธ์ก็ยอมรับ
ความไม่ชอบมาพากลของพระประยุทธ์ก็คือ  ไปหยิบเอาคำว่า “อัตตา”
มาแปลใหม่ ให้ไปตรงกับคำว่า “อัตตตา”
ซึ่งเป็นคำนาม
อันที่จริงมันก็ไม่น่าจะผิดพลาดกันมาก
ซึ่งในทางภาษาศาสตร์จริงๆ ความหมายมันก็ไม่ต่างกันมากนัก
ถ้าตีความด้วยความบริสุทธิ์ใจ
ต้องขออธิบายความหมายของคำว่า
“อัตตตา” ซึ่งเป็นคำนามกันก่อน  
ศาสนาพราหมณ์-ฮินดูเขาเชื่อว่า
ในร่างกายเรามี “อัตตตา” ตัวเล็กๆ
อยู่  เจ้า “อัตตตา”
ตัวนี้ไม่เปลี่ยนแปลงอะไร  เมื่อตายไปแล้ว
ก็ไปหาร่างกายใหม่ วนเวียนอยู่อย่างนั้น
เมื่อสร้างบารมีครบแล้ว
“อัตตตา” ก็จะเข้าไปอยู่กับมหาพรหมัณ
ซึ่งเป็น “อัตตตาใหญ่”
ความเชื่อดังกล่าว
มันขัดกับหลัก “อนิจจัง-ทุกขัง-อนัตตา”
ของศาสนาพุทธ
จะเห็นว่า  การที่พระพรหมคุณาภรณ์/พระธรรมปิฎก/พระประยุทธ์เปลี่ยนความหมายของคำ “อัตตา” ของหลวงพ่อวัดปากน้ำให้ผิดๆ 
แล้วเอามาโจมตีหลวงพ่อวัดปากน้ำ
จึงเป็นเรื่องที่พระดีๆ เขาไม่ควรจะทำกัน
 

 
 
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น