บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

ได้ฟังแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้



จากบทความ “โครงสร้างของอนัตตลักขณสูตร”  ผมได้กล่าวถึง สิ่งที่ควรจะใคร่ครวญหลังจากการอ่านอนัตตลักขณสูตร 4 ประเด็น 

วันนี้เราจะพูดประเด็นที่ 3 กับ ประเด็นที่ 4 ดังนี้

3) ข้อความที่ว่า

เธอทั้งหลายพึง เห็น รูป-เวทนา-สัญญา-สังขาร-วิญญาณนั้น ด้วยปัญญาอันชอบ ตามเป็นจริงอย่างนี้ว่า

นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรานั่นไม่ใช่ตนของเรา.

คำว่า “เห็น” นั้น เห็นอย่างไร ใช้อะไรในการเห็น

4) ข้อความที่ว่า

ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวก ผู้ได้ฟังแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในรูป ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในเวทนา ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในสัญญา ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในสังขารทั้งหลาย ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในวิญญาณ

ข้อความ “อริยสาวก ผู้ได้ฟังแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้” แสดงว่า พระปัจจวัคคีย์ฟังคำเทศนาของพระพุทธองค์ไป และเห็นไปด้วยในขณะเดียวกัน ใช่หรือไม่..

จากข้อความของ “อนัตตลักขณสูตร” ข้างต้น ก็แสดงว่า พระปัจจวัคคีย์ “เห็น” ขันธ์ 5 ตามความเป็นจริงด้วยปัญญาว่า ขันธ์ 5 ไม่ใช่ตัวตนของเรา  

ขณะที่พระปัจจวัคคีย์ “ฟังอยู่” นั้น ก็ “เห็นอยู่” ด้วย กิเลสก็หมดลงไป โดยการเบื่อหน่ายในขันธ์ 5

ข้อความในส่วนนี้ ถ้าใครได้อ่านข้อเขียนของพวกพุทธวิชาการหรือนักปริยัติที่จะตนนรกทั้งหลาย ก็จะไม่ได้พบข้อความดังกล่าวเลย

พวกนั้น ทำราวกับว่า ข้อความ “อริยสาวก ผู้ได้ฟังแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้” ไม่มีในอนัตตลักขณสูตร ทำไม่รู้ ไม่เห็น ไม่กล่าวถึงเสียดื้อๆ

แล้วพวกนี้ มันจังไรไหมเล่า มันเลวไหมเล่า........... พวกมันตกนรกก็สมควรแก่พฤติกรรมของพวกมันแล้ว

แล้วในทางวิชาธรรมกายมีคำอธิบายประเด็นนี้อย่างไร  หลวงพ่อวัดปากน้ำ เขียนไว้ในหนังสือมรรคผลพิสดาร ๒ ดังนี้

รูปขันธ์ของมนุษย์นี้ คือยาว ๑ วา หนา ๑ คืบ กว้าง ๑ ศอก  ย่นเข้าให้เล็กที่สุดแล้ว จะมีขนาดดังนี้ คือ.-
๑. รูปขันธ์ ขนาดเท่าฟองไข่ของไก่
๒. เวทนาขันธ์ ขนาดเท่าไข่ขาว
๓. สัญญาขันธ์ ขนาดเท่าไข่แดงของไก่
๔. สังขารขันธ์ ขนาดเท่าลูกตาดำ
๕. วิญญาณขันธ์ ขนาดเท่าแววตาดำ

มนุษย์เล็กเช่นพวกเรานี้ ก็มีขนาดเท่านี้ แต่ถ้าขันธ์ ๕ เป็น อนิจฺจํ ไม่เที่ยง ทุกฺขํ เป็นทุกข์ อนตฺตา ไม่ใช่ตัวตน เป็นประการใด

ขันธ์ ๕ ที่เรียกว่า ไม่เที่ยงๆ นั้น เพราะจำเดิมแต่แรกขณะเกิดมา ก็เปลี่ยนไปทีละนิดๆ เป็นวิปริตนามธรรม แปรผันยักย้ายกลับกลาย เปลี่ยนจากรูปเดิมอยู่ทุกวินาที

เหมือนนาฬิกาเดินเลื่อนที่อยู่เสมอ หรือเหมือนดวงอาทิตย์ตั้งแต่แรกอุทัยขึ้นมา ก็เดินเลื่อนไปทีละนิดๆ ไม่อยู่คงที่

ขันธ์ ๕ ไม่คงที่เปลี่ยนแปลง เป็น อนิจฺจํ อยู่เสมอเช่นนี้เป็นตัว เหตุ ขันธ์ ๕ จึงเกิด ทุกข์ ซึ่งเป็นตัว ผล อันเนื่องมาจากความไม่เที่ยง

ขันธ์ ๕ เป็นทุกข์เพราะไม่คงที่ จึงมี ชรา พยาธิ มรณะ เบียดเบียนอยู่ทุกเมื่อ ใครเป็นผู้รับทุกข์? คือกายนั้นๆ ที่อาศัยอยู่ภายในขันธ์ ๕ นั้นๆ เช่น กายทิพย์อาศัยอยู่ภายในกายมนุษย์ เป็นต้น

เป็นทุกข์เพราะอะไร? เพราะอุปาทาน ความไปยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ ๕ ที่อยู่อาศัยนั้นว่า เป็นเรา เป็นของเรา เป็นตัวตนของเรา ด้วยอำนาจตัณหา มานะ ทิฐิ

ใครเห็นทุกข์? กายธรรมเป็นผู้เห็นทุกข์ ทุกข์เพราะอยู่มาเหมือนบ้านเรือน อันเก่าแก่ ทุกข์เพราะคร่ำคร่าชำรุดทรุดโทรมเป็นลำดับมา

ใครเป็นผู้ทุกข์? คนอาศัยในเรือนนั้นเป็นผู้ทุกข์ ทุกข์เพราะเดือดร้อน อยู่อาศัยไม่สะดวก

ทุกข์เพราะอะไร? ทุกข์เพราะเข้าไปยึดถือว่าเรือนของเรา เราอาศัยอยู่ ถ้าปล่อยว่างวางเฉยทอดธุระเสียว่า “ไม่ใช่เรือนของเราแล้ว” ทุกข์จะมีมาจากไหนก็ไม่มีทุกข์แน่นอน

จะเห็นว่า ขันธ์ 5 เป็นอย่างไร มีขนาดเท่าไหร่  ขันธ์ 5 เป็นอนิจจัง/ทุกขัง/อนัตตาอย่างไร หลวงพ่อวัดปากน้ำ อธิบายไว้อย่างแจ่มชัด

อธิบายด้วยว่า กายธรรมเป็นผู้เห็นทุกข์  ผู้เป็นทุกข์ก็คือ กายมนุษย์ กายทิพย์ กายรูปพรหม และกายอรูปพรหม ชัดเจนอย่างไม่มีสายปฏิบัติธรรมหรือนักปริยัติใด อธิบายได้แบบนี้อีกแล้ว

สุดท้ายเลย ก็คือ ข้อความ “อริยสาวก ผู้ได้ฟังแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้” ก็ดูวิดิโอของผมข้างบนเป็นตัวอย่าง 

ผมได้บอกไปหลายครั้งว่า วิชาธรรมกายเป็นวิชาที่พระพุทธองค์ทรงสอน  ผมก็สอนไปตามแบบนั้น คือ “สั่ง” วิชาไป  คนเรียนก็หลับตาฟังไป และ “เห็น” ไปตามหลักสูตรที่กำหนด

ตัวอย่างของวิดิโอนั้น ก็ยืนยัน ข้อความ “อริยสาวก ผู้ได้ฟังแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้” ได้เป็นอย่างดี อย่างที่ไม่มีใครอธิบายได้แบบนี้อีกแล้ว






ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น