หลังจากที่ทรงสอนพระปัจจวัคคีย์จนมีดวงตาเห็นธรรมครบทุกรูปแล้ว
พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนอนัตตลักขณสูตร
เมื่อได้รับฟังอนัตตลักขณสูตรแล้ว
พระปัจจวัคคีย์จึงบรรลุพระอรหันต์
พระสูตรที่เกี่ยวกับ
“ลักษณะของอนัตตา” นั้น
มีอยู่ในพระไตรปิฎก 2 แห่งคือ พระไตรปิฎก เล่มที่ ๔ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๔
มหาวรรค ภาค ๑ ตรงนี้คือ “อนัตตลักขณสูตร”
พระไตรปิฎก
เล่มที่ ๑๗ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๙ สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค ตรงนี้คือ “ปัจจวัคคิยสูตร”
เนื้อหาทั้ง
2 แห่งนั้น กล่าวถึงเหตุการณ์เดียวกันคือ
เหตุการณ์ที่พระพุทธองค์ทรงแสดงอนัตตลักขณสูตรให้พระปัจจวัคคีย์
อนัตตลักขณสูตรแบ่งออกได้เป็น
5 ตอน ดังนี้
ตอนที่ ๑
พระพุทธองค์ทรงสอนว่า
รูป-เวทนา-สัญญา-สังขาร-วิญญาณเป็นอนัตตา ใน“ปัจจวัคคิยสูตร” จะแปลเป็น รูป-เวทนา-สัญญา-สังขาร-วิญญาณ
ไม่ใช่ตัวตน
ข้อความที่ว่า
“เป็นอนัตตา” กับ “ไม่ใช่ตัวตน” นั้น ความหมายก็เหมือนกัน แต่ในความเห็นของผม ข้อความ “ไม่ใช่ตัวตน” จะให้ความหมายที่ชัดเจนกว่า เพราะ
แปลเป็นภาษาไทยล้วนๆ ไม่มีการทับศัพท์
เหตุผลของการที่
รูป-เวทนา-สัญญา-สังขาร-วิญญาณ หรือ ขันธ์ 5 ไม่ใช่ตัวตน ก็เพราะว่า ยังป่วยได้
บังคับให้เป็นไปตามความต้องการของเราไม่ได้
ตอนที่ ๒
พระพุทธองค์ตรัสถามพระปัจจวัคคีย์เพื่อนำไปสู่ข้อสรุปที่ว่า
“ก็สิ่งใดไม่เที่ยง
เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา
นั่นเป็นตนของเรา?”
|
ตอนที่ ๓
พระพุทธองค์ทรงสรุปว่า
เธอทั้งหลายพึงเห็นรูป-เวทนา-สัญญา-สังขาร-วิญญาณนั้น
ด้วยปัญญาอันชอบ ตามเป็นจริงอย่างนี้ว่า
นั่นไม่ใช่ของเรา
นั่นไม่เป็นเรานั่นไม่ใช่ตนของเรา.
|
ตอนที่ ๔
พระพุทธองค์ทรงแสดงผลที่เกิดขึ้นจากการฟังอนัตตลักขณสูตร
ดังนี้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวก
ผู้ได้ฟังแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในรูป
ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในเวทนา ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในสัญญา
ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในสังขารทั้งหลาย ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในวิญญาณ
เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมสิ้นกำหนัด
เพราะสิ้นกำหนัด จิตก็พ้นเมื่อจิตพ้นแล้ว ก็รู้ว่าพ้นแล้ว
อริยสาวกนั้นทราบชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว
พรหมจรรย์ได้อยู่จบแล้วกิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว
กิจอื่นอีกเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี.
|
ตอนที่ ๕
พระธรรมสังคาหกาจารย์
หรือ พระอาจารย์ผู้ทำสังคายนาร้อยกรองตั้งเป็นพระบาลีไว้
ได้กล่าวไว้ในตอนท้ายพระสูตรว่า
เมื่อท่านทั้ง
๕ ได้สดับสูตรนี้จบแล้ว ก็มีใจปีติโสมนัสแนบแน่น จิตของท่านของทั้ง ๕
ก็พันจากอาสวกิเลส คือได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ทั้ง ๕ รูป
สิ่งที่ควรจะใคร่ครวญหลังจากการอ่านอนัตตลักขณสูตรแล้วก็คือ
1-
รูป-เวทนา-สัญญา-สังขาร-วิญญาณหรือขันธ์ 5 ไม่ใช่ตัวตน แล้วอะไรคือตัวตน
2- ข้อความที่ว่า
“ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา
ควรหรือจะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา
นั่นเป็นตนของเรา?”
|
ข้อความดังกล่าวนั้น
ตีความได้ว่า สิ่งที่ตกอยู่ในพระไตรลักษณ์ ไม่ใช่ตัวตนของเรา
แล้วตัวตนของเราคืออะไร
3)
ข้อความที่ว่า
เธอทั้งหลายพึง เห็น
รูป-เวทนา-สัญญา-สังขาร-วิญญาณนั้น ด้วยปัญญาอันชอบ ตามเป็นจริงอย่างนี้ว่า
นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรานั่นไม่ใช่ตนของเรา.
|
คำว่า
“เห็น” นั้น เห็นอย่างไร ใช้อะไรในการเห็น
4)
ข้อความที่ว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวก
ผู้ได้ฟังแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในรูป
ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในเวทนา ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในสัญญา
ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในสังขารทั้งหลาย ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในวิญญาณ
|
ข้อความ
“อริยสาวก ผู้ได้ฟังแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้”
แสดงว่า พระปัจจวัคคีย์ฟังคำเทศนาของพระพุทธองค์ไป และเห็นไปด้วยในขณะเดียวกัน
ใช่หรือไม่..
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น