หัวข้อธรรมะ
“สติปัฎฐาน”
นั้นมีในพระไตรปิฎกหลายแห่งมาก แต่ที่เก็บรวบรวมเป็นเป็นพระสูตรมี 2 แห่งคือ
1- มหาสติปัฏฐานสูตร ในพระสุตตันตปิฎก
ทีฆนิกาย มหาวรรค
2- สติปัฏฐานสูตร ในพระสุตตันตปิฎก
มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์
|
สติปัฏฐานสูตรแบ่งออกเป็นข้อๆ
เรียกว่า ปพฺพ (ปัพพะ,บรรพะ, ข้อ, แบบ) รวม 21 บรรพะ โดยในพระบาลีใช้คำว่า อปิจ (อะปิจะ - อีกอย่างหนึ่ง)
เริ่มที่อานาปานบรรพะ
และไปสิ้นสุดที่ สัจจบรรพะ
ทั้ง
21 บรรพะนี้ พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้อย่างย่อเท่านั้น
รายละเอียดจำเป็นต้องดูเพิ่มเติมที่สติปัฏฐานสังยุตต์ ในสังยุตตนิกาย มหาวารวรรค, สติปัฏฐานนิทเทส
ในขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค, สติปัฏฐานวิภังค์
ในอภิธรรมปิฎก วิภังคปกรณ์ (ละเอียดที่สุด)
และคัมภีร์ชั้นอรรถกถา-ฏีกา
เช่น อรรถกถามหาสติปัฏฐานสูตร ใน สุมังคลวิลาสินีปกรณ์, อรรถกถาสติปัฏฐานสูตร
ใน ปปัญจสูทนีปกรณ์, อรรถกถาสติปัฏฐานสังยุตต์ ใน
สารัตถปกาสินีปกรณ์, อรรถกถาสติปัฏฐานนิทเทส ใน
สัทธัมมปกาสินีปกรณ์, อรรถกถาสติปัฏฐานวิภังค์ ใน
สัมโมหวิโนทนีปกรณ์, อภิธัมมัตถวิภาวินีฏีกา
ฏีกาของอภิธัมมัตถสังคหะ ปริจเฉทที่ 7 (ย่อไว้ดีมาก), ฏีกา-อนุฏีกาของอรรถกถาเหล่านั้น
เป็นต้น.
อย่างไรก็ตาม
การจะทำความเข้าใจอย่างละเอียดนั้นจำเป็นต้องมีพื้นฐานในด้านข้อมูล-ภาษา-และความสัมพันธ์ที่ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎก-อรรถกถา-ฏีกามากพอสมควร
ซึ่งสามารถหาประสบการและความชำนาญได้ด้วยการหาความรู้เพิ่มเติมไปอีก
เช่น ถ้าอ่านเรื่อง "รูปขันธ์" ใน ขันธบรรพะ พร้อมอรรถกถา-ฏีกาแล้ว
ก็ควรอ่านขันธวารวรรค ในสังยุตตนิกาย, ขันธวิภังค์ ในวิภังคปกรณ์,
ขันธนิทเทส ในวิสุทธิมรรค ปัญญานิทเทส,
การจำแนกขันธ์ที่มาในธัมมสังคณีปกรณ์, อภิธัมมัตถสังคหปกรณ์,
อภิธัมมัตถวิภาวินีปกรณ์ เป็นต้น.
|
จากข้อความข้างบนแสดงให้เห็นว่า
มหาสติปัฏฐานสูตร/สติปัฏฐานสูตรเป็นหลักสูตรสำหรับให้พระภิกษุนำไปสอน
เช่นเดียวกับหลักสูตรของสถาบันหรือโรงเรียนต่างๆ
ในการทำความเข้าใจกับหลักสูตรเหล่านั้น ครู-อาจารย์จะต้องไปอ่านไปค้นคว้าอีกมาก
ในกรณีของพระสูตร
เราจะต้องมีศึกษา อรรถกถา ฎีกา อนุฎีกา และอัตโนมติ คือ คำอธิบายขยายความต่างๆ
ของเจ้าสำนัก รวมถึงนักวิชาการเข้าไปด้วย
ข้อความสำคัญที่ควรจะต้องอ่านและทำความเข้าใจเป็นอย่างยิ่ง
ก็คือ ข้อความนี้
ในสติปัฏฐานสูตรจะเน้นให้พิจารณาทั้งสิ่งที่เป็นของตนและของคนอื่น
เพราะมี ข้อความว่า "พหิทฺธา วา กาเย กายานุปสฺสี
วิหรติ-เป็นผู้หมั่นพิจารณากายในกายอยู่" อยู่ในทุกบรรพะทั้ง 21
บรรพะเลยทีเดียว
ซึ่งพระอรรถกถาและพระฏีกาจารย์ก็ย้ำไว้อีก
ในอรรถกถาของทุกบรรพะเช่นกันว่า "พิจารณาภายนอก
หมายถึง ของคนอื่น".
คำนี้ก็สอดคล้องกับสูตรทั่วไป
เช่นที่เรามักได้ยินคำว่า "รูปที่เป็นอดีต
อนาคต ปัจจุบัน ภายใน ภายนอก หยาบ ละเอียด เลว ประณีต ไกล ใกล้"
เป็นต้น.
|
อีกข้อความหนึ่งก็คือ
สาเหตุที่คนมักเข้าใจว่า
ท่านให้พิจารณาแค่จิตของตนเท่านั้น กายของตน เท่านั้น เป็นต้น
อย่างหนึ่งน่าจะมาจากข้อความว่า "กายยาววาหนาคืบ"
ซึ่งมีต้นเค้ามาจากพระไตรปิฎก
แต่คำนี้ท่านก็ไม่ได้ระบุว่า
หมายถึงของตนเองเท่านั้น
ฉะนั้น
จึงควรใคร่ครวญให้ดีว่า ที่นิยมกล่าวกันว่า
ให้ดูแต่ใจตนเองนั้นเหมาะสมมากน้อยแค่ไหน?
|
จะเห็นว่า
คนที่ไปเขียนเรื่องสติปัฏฐานสูตรในวิกิพิเดีย สารานุกรมเสรี “รู้” และ “เข้าใจ”
สติปัฏฐานสูตรค่อนข้างดีทีเดียว
พระพม่าและสาวกของพระพม่า
ตลอดจนสายปฏิบัติธรรมอื่นๆ ในประเทศไทย จำนวนมากเลย ที่เข้าใจผิดตามๆ กันไปว่า “สติปัฏฐานสูตร ศึกษาแค่จิตของตนเอง” ไม่กล่าวถึงการศึกษา “จิต” ที่เป็นภายนอก
ซึ่งหมายถึงคนอื่นๆ เลย
ในเมื่อไม่เข้าใจสติปัฏฐานสูตรอย่างถูกต้อง
การปฏิบัติธรรมถึงไม่มีความก้าวหน้าไปไหน ได้แต่ลูกกันเองว่า ถึงนั่น
ถึงนี่แล้ว ใกล้จะบรรลุพระอรหันต์ ภายใน 7
ปี 7 เดือน 7 วันแล้ว
โกหกและหลอกตัวเองกันทั้งนั้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น