บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

สิ่งใดเกิดขึ้น สิ่งนั้นย่อมดับ


ในบทความ “เห็นหรือไม่เห็น” ผมได้อธิบายไปแล้วว่า จากเนื้อหาของธัมมจักกัปปวัตตนสูตร อันเป็นปฐมเทศนานั้น

“ญาณทัสสนะ” ได้เกิดขึ้นกับพระพุทธองค์ เมื่อพระพุทธองค์ทรงสอนพระปัจจวัคคีย์ “ญาณทัสสนะ” ก็เกิดขึ้นกับพระโกณฑัญญะ 

ญาณ รู้

ทัสสนะ เห็น 

การรู้การเห็นดังกล่าว “ย่อมเป็นไปเพื่อความสงบเพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน

กล่าวเฉพาะพระโกณฑัญญะ

ก็แลเมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสไวยากรณภาษิตนี้อยู่ ดวงตาเห็นธรรม ปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน ได้เกิดขึ้นแก่ท่านพระโกณฑัญญะว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวล มีความดับเป็นธรรมดา.

เป็นที่น่าสงสัยว่า เมื่อดวงตาเห็นธรรมเกิดขึ้นแล้ว  พระโกณฑัญญะเห็นเฉพาะ “สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวล มีความดับเป็นธรรมดา”  อย่างเดียวหรือ  ไม่เห็นอย่างอื่นๆ เลยหรือ!!!!!!!!!!!

และ “สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวล มีความดับเป็นธรรมดา” สำคัญอย่างไร  ถึงกับต้องมาท่องจำไว้ใน ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร นี้ด้วย

เพราะ ข้อความตรงนี้ พิจารณาแล้วดูเหมือนว่า ไม่ได้มีความสำคัญเท่ากับ “กามสุขัลลิกานุโยค” “อัตตกิลมถานุโยค” “อริยมรรค มีองค์ ๘” และ “อริยสัจ 4”

พูดเข้าใจง่ายขึ้นก็คือ  ข้อความในส่วนที่ยกไปข้างต้น ในส่วนที่กล่าวเฉพาะพระโกณฑัญญะ...นั้น ไม่ต้องมีก็ได้  มีเฉพาะเรื่อง “อริยมรรค มีองค์ ๘” กับ “อริยสัจ 4” ก็เพียงพอแล้ว

ที่ต้องมีข้อความดังกล่าวนั้น ก็เพราะความเชื่อของคนในยุคนั้น เชื่อเรื่อง “ปรมาตมัน อาตมันสูงสุด หรืออัตตาสูงสุด”  อันเป็นหลักความเชื่อของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู

ปัจจวัคคีย์ซึ่งเป็นพรามหณ์ก็มีความเชื่อเรื่องนี้อย่างแน่นแฟ้น  ขนาดฟังธัมมจักกัปปวัตตนสูตรจบ มีผู้มีดวงตาเห็นธรรมเพียงคนเดียวคือ พระอัญญาโกณฑัญญะเท่านั้น  อีก 4 ท่านที่เหลือยังไม่มีดวงตาเห็นธรรม

พระพุทธองค์ต้องทรงสอนซ้ำอีกหลายครั้ง จึงทยอยมีดวงตาเห็นธรรมทั้ง 5 ท่าน  แต่ก็ยังไม่มีใครบรรลุพระอรหันต์ จนกว่าจะได้ฟัง “อนัตตลักขณสูตร”

ความเชื่อเรื่อง “ปรมาตมัน อาตมันสูงสุด หรืออัตตาสูงสุด” เป็นอย่างไร

หลักความเชื่อของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เชื่อว่า ในตัวเราแต่ละคนนี้ มีอาตมัน คือ อัตตาหรือตัวตนสิงสู่อยู่ คล้ายคนตัวเล็กๆ อยู่ในตัวของเรา  ผู้คิด ผู้นึก ผู้เสวยเวทนา เป็นต้น

อาตมันหรือคนตัวเล็กๆ นี้ แบ่งภาคออกมาจากปรมาตมัน/พรหมัน ซึ่งเป็นพระเจ้าใหญ่ที่สุด 

เมื่อเราตาย อาตมันนี้ออกจากร่างไปสิงอยู่ในร่างอื่นต่อไป เหมือนถอดเสื้อผ้าเก่าสวมเสื้อผ้าใหม่ หรือออกจากเรือนเก่าไปอยู่ในเรื่องใหม่ สุดแต่กรรมที่ได้ทำไว้ เวียนว่ายตายเกิดเรื่อยไป

จนกว่าจะตระหนักรู้ว่าตนเองเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับปรมาตมัน แลเข้าถึงความบริสุทธิ์จากบาปโดยสิ้นเชิง จึงจะได้ กลับเข้ารวมกับปรมาตมันดังเดิม ไม่เวียนตายเวียนเกิดอีกต่อไป

การเข้าไปรวมกับปรมาตมัน/พรหมันของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ก็เปรียบได้กับการเข้านิพพานของศาสนาพุทธเรา

พระพุทธองค์ก็เป็นพราหมณ์ ดังนั้น พระองค์จึงทรงรู้ปัญหานี้ดี จึงสอนธัมมจักกัปปวัตนสูตรก่อน พอพระโกณฑัญญะ

เมื่อพระโกณฑัญญะเห็นดวงธรรมแล้ว และรู้ว่า “สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวล มีความดับเป็นธรรมดา.” ก็แสดงว่า พระอัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วว่า เรื่อง “ปรมาตมัน อาตมันสูงสุด หรืออัตตาสูงสุด” ไม่ถูกต้อง

ตรงนี้จะเห็นว่า  กว่าจะสอนให้คนๆ หนึ่งมีดวงตาเห็นธรรมไม่ใช่เรื่องง่าย  พระพุทธเจ้าสอนครั้งแรก  คน 5 คน เห็นคนเดียวเท่านั้น  เท่ากับร้อยละ 20

พอพระโกณฑัญญะ “เห็น” และ “รู้” แล้ว  พระพุทธองค์จึงทรงอุทานว่า

ท่านผู้เจริญ โกณฑัญญะ ได้รู้แล้วหนอ ท่านผู้เจริญ โกณฑัญญะได้รู้แล้วหนอ เพราะเหตุนั้น คำว่า อัญญาโกณฑัญญะนี้ จึงได้เป็นชื่อของท่านพระโกณฑัญญะ ด้วยประการฉะนี้.

จากข้อความทั้งหมดข้างต้นนั้น จะเห็นได้ว่า วิชาธรรมกายสามารถอธิบายได้ครบถ้วน แจ่มแจ้ง ปราศจากความสงสัยใดๆ

นอกจากอธิบายได้แล้ว  ก็ยังมีวิทยากรไปสอนนักเรียน นักศึกษา –ประชาชนจนมีดวงตาเห็นธรรมกันเป็นจำนวนล้านคนไปแล้ว

นั่นคือ วิชาธรรมกายสามารถอธิบายตามหลักมหาประเทศ 4 ได้อย่างชัดเจน แจ่มชัด อย่างไม่มีสายปฏิบัติธรรมใดทำได้มาก่อน

วิชาธรรมกายจึงเป็นวิชาที่พระพุทธเจ้าทรงสอนอยู่ในยุคที่พระองค์ยังมีพระชนม์ชีพอยู่  หลังจากนั้น ประมาณ พ.ศ. 500 ก็ไม่มีใครปฏิบัติได้อีก 

จนกระทั่งหลวงพ่อวัดปากน้ำมาค้นพบอีกครั้งหนึ่ง



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น