บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

เห็นหรือไม่เห็น


จากเนื้อหาของธัมมจักกัปปวัตตนสูตร 2 ส่วนนี้ คือ

[1] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปฏิปทาสายกลาง ไม่เข้าไปใกล้ที่สุดสองอย่างนั้น นั่นตถาคตได้ตรัสรู้แล้ว ด้วยปัญญาอันยิ่ง ทำดวงตาให้เกิด ทำญาณให้เกิด ย่อมเป็นไปเพื่อความสงบเพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน

ข้อความในส่วนนี้ แสดงว่า พระพุทธองค์ทรงปฏิบัติด้วยทางสายกลาง อันเป็นเอากายนมรรค และทรงตรัสรู้ 

การตรัสรู้ของพระองค์นั้น เกิดจาก “ปัญญาอันยิ่ง” ซึ่งทำให้ “ดวงตาเกิดขึ้น” และ “ญาณเกิดขึ้น”

[2] ก็แลเมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสไวยากรณภาษิตนี้อยู่ ดวงตาเห็นธรรม ปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน ได้เกิดขึ้นแก่ท่านพระโกณฑัญญะว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวล มีความดับเป็นธรรมดา.

ข้อความในส่วนนี้ แสดงว่า ขณะที่ ปัจจวัคคีย์กำลังฟังคำสอนของพระพุทธองค์ “ดวงตาเห็นธรรม” เกิดขึ้นกับพระโกณฑัญญะ  ธรรมนั้น ใส “ปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน

จากเนื้อหาของธัมมจักกัปปวัตตนสูตร 2 ส่วนนั้น ก็แสดงให้เห็นว่า ทั้งพระพุทธองค์และพระโกณฑัญญะมี “ตา” เพิ่มขึ้นมาจากมังสจักษะ หรือตาเนื้อ

ยังมีพระสูตรที่ยืนยันเรื่อง “ตา” นี้อีกคือ พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๙  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๑ ขุททกนิกาย มหานิทเทส หน้าที่ 42-43 หัวข้อ “สัตว์ดิ้นรนอยู่ในโลกเพราะตัณหา”  ดังนี้

[๕๐] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เราย่อมเห็นหมู่สัตว์นี้ไปในตัณหาในภพทั้งหลาย ดิ้นรนอยู่ในโลก นรชนทั้งหลายที่เลว ยังไม่ปราศจากตัณหาในภพน้อยภพใหญ่ ย่อมร่ำไรใกล้ปากมัจจุ.

[๕๑] คำว่า เราย่อมเห็น ... ดิ้นรนอยู่ในโลก มีความว่า คำว่า ย่อมเห็น คือ ย่อมเห็น ย่อมแลดู ตรวจดู เพ่งดู พิจารณาดู ด้วยมังสจักษุบ้าง ทิพยจักษุบ้าง ปัญญาจักษุบ้าง พุทธจักษุบ้าง สมันตจักษุบ้าง.

คำว่า ในโลก คือ ในอบายโลก มนุษยโลก เทวโลก ขันธโลก ธาตุโลก อายตนโลก.

คำว่า ดิ้นรนอยู่ คือ เราย่อมเห็น ย่อมแลดู ตรวจดู เพ่งดู พิจารณาดู [ซึ่งหมู่สัตว์นี้] ดิ้นรน กระเสือกกระสน ทุรนทุราย หวั่นไหว เอนเอียง กระสับกระส่ายไปมา…………

จากข้อความข้างต้นจะเห็นว่า ในศาสนาพุทธเถรวาท จักษุมี 5 ประเภทคือ
1) มังสจักษุ
2) ทิพยจักษุ
3) ปัญญาจักษุ
4) พุทธจักษุ
5) สมันตจักษุ

จากข้อความทั้ง 2 พระสูตรข้างต้น และพระสูตรอีกเป็นจำนวนมาก แสดงให้เห็นว่า ตาหรือจักษุในศาสนาพุทธมี 5 ประเภท  ตาทั้ง 5 ประเภทนั้นสามารถเห็น “อบายโลก มนุษยโลก เทวโลก ขันธโลก ธาตุโลก อายตนโลก”  

จากข้อมูลทั้งหมดที่กล่าวมาแล้วข้างต้น  จึงเป็นที่น่าสงสัยเป็นอย่างยิ่งว่า ทำไมจึงมีกลุ่มพุทธศาสนิกชนในเมืองไทย ปฏิเสธการเห็น 

กลุ่มปฏิเสธการเห็น” ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกเรียนปริยัติอย่างเดียว หรือพวกพุทธวิชาการ  แต่ก็ยังมีสายปฏิบัติธรรมก็เป็นพวก ปฏิเสธการเห็น  นี้ด้วย

กลุ่มปฏิเสธการเห็น” มักจะตีความคำว่า “เห็น” เป็น “เข้าใจ” (understanding)

มีคนสมองหมาปัญญาควายบางตัว แปลคำว่า “พิจารณาเห็น” จากภาษาบาลีที่ว่า “อนุปัสนา” เป็น พิจารณาจนมีความเห็น (Opinion) ไม่ใช่มีการเห็น (Sighting) จริงๆ

หาอ่านรายละเอียดได้ที่นี่  ควายในพันธุ์ทิพย์   http://buffaloinphanthip.blogspot.com/

ท่านผู้อ่านอาจจะสงสัยว่า “กลุ่มปฏิเสธการเห็น” มีความคิดดังกล่าวนั้นมาจากไหน 

ผมขอตอบได้เลยว่า “กลุ่มปฏิเสธการเห็น” เชื่อวิทยาศาสตร์มากกว่าพระไตปิฎก พวกนี้ ไม่เชื่อพระไตรปิฎกทั้งหมด สิ่งไหนไม่สอดคล้องกับวิทยาศาสตร์หรือปรัชญาพวกนี้ก็จะไม่เชื่อ

แต่จะประกาศออกมาหรือไม่เท่านั้น

ดังนั้น ความเห็น/ความเชื่อของ “กลุ่มปฏิเสธการเห็น” จึงใช้ไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง  เพราะ เป็นการไปเอา “ของนอก” มาตัดสินพระไตรปิฎก

ประเด็นหรือข้อความของพระไตรปิฎกนั้น ถ้ามีปัญหาขัดแย้งกันขึ้นมา ก็ควรใช้หลักมหาประเทศส 4 ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้

ไม่ใช่ไปเอาหลักวิทยาศาสตร์หรือปรัชญามาตัดสิน

กลุ่มปฏิบัติธรรมที่เป็น “กลุ่มปฏิเสธการเห็น” ก็คือ พวกสาวกของพระพม่า  พระพม่านั้น เชื่อวิทยาศาสตร์มากกว่าพระไตรปิฎกเช่นเดียวกัน  จึงมีความเห็นผิดๆ ไปอย่างนั้น

จากเนื้อหาและข้อความของพระไตรปิฎกที่กล่าวมาทั้งหมดข้างต้น  สายวิชาธรรมกายสามารถอธิบายได้อย่างสมเหตุสมผล  มีหลักสูตรกำหนดไว้ มีการสอน และปฏิบัติตามได้

ขออธิบายอย่างคร่าวๆ ว่า กายเรามีทั้งหมด 18 กาย  แต่ละกายก็มีขันธ์ 5 ทั้งหมด  กายหยาบมีกายเดียวคือ กายเนื้อ   ที่เหลือเป็นกายละเอียด

ที่ว่ากายละเอียดนั้น ไม่ใช่เป็นนามธรรม  แต่เป็น “รูป”จับต้องได้ มองเห็นได้ เพียงแต่ละเอียดมากเท่านั้น


ก็กายของเรามี 18 กาย  ตาของเราก็มี 18 คู่  เราจึงสามารถมองเห็นไปได้ทั้ง “ในอบายโลก มนุษยโลก เทวโลก ขันธโลก ธาตุโลก อายตนโลก” ตรงตามพระสูตร



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น